วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สูตรน้ำคั้นจากผลทับทิม ผสมโซดาและน้ำผึ้ง

สูตรน้ำคั้นจากผลทับทิม ผสมโซดาและน้ำผึ้ง
ยาอายุวัฒนะรักษาได้สารพัดโรค มีฤทธิ์ฆ่าเซลล์มะเร็ง รักษาโรคได้ดังต่อไปนี้


444

- มะเร็งต่อมลูกหมาก
- มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
- มะเร็งปากมดลูก
- มะเร็งลำไส้
- มะเร็งกระเพาะอาหาร
- มะเร็งทางเดินอาหาร
- เนื้องอกตามอวัยวะต่างๆ
- โรคไต
- โรคนิ่ว
- โรคภูมิแพ้ ไซนัส
- โรคหลอดเลือดหัวใจ

นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยสิ่งต
่างๆดังนี้:

- ล้างฟอกไตให้สะอาด บำรุงไต
- ล้างพิษออกจากลำไส้
- ยับยั้งกระดูกผุ ลดภาวะกระดูกพรุน
- บำรุงโลหิต
- ลดน้ำตาลในโรคเบาหวาน
- ปรับระดับฮอร์โมนให้สมดุลย์ในหญ
ิงวัยทอง
- ฟื้นฟู ตับ ไต และหัวใจ

สูตรการทำน้ำทับทิม

1. นำผลทับทิมสด (ผลห้ามปอกเปลือกหรือเอาเมล็ดออ
ก ให้นำไปล้างน้ำแล้วใช้ทั้งผล) มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปใส่เครื่องปั่น หรือเครื่องคั้นน้ำผลไม้แยกกากก็ได้ ให้ได้น้ำคั้นจากเปลือก เมล็ด และเนื้อทับทิม (ใช้ทับทิม 1 ลูก ต่อ 1 ท่าน)

2. ใส่น้ำโซดาลงไป (ควรเป็นโซดาแช่เย็น) เพื่อให้เกิดปฏิกริยาในการกลั่น
ยาให้ได้ผลดี (โซดาประมาณ 1 แก้วต่อทับทิม 1 ผล)

3. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยา ให้ใส่น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา (ต่อทับทิม 1 ผล)

4. ผสมทุกอย่างให้เข้าก่อน ทำดื่มวันละ 3 เวลา หรืออย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง (วันละ 3 ครั้งจะเห็นผลเร็วมาก)

ประสบการณ์จากผู้ที่ใช้สูตรยานี


- ผู้ป่วยท่านหนึ่งหายจากโรคนิ่วใ
นไตภายในเวลา 1 สัปดาห์
- ผู้ป่วยท่านหนึ่ง อาการมะเร็งต่อมน้ำเหลืองดีขึ้น
 50% ภายใน 1 สัปดาห์
- ผู้ป่วยท่านหนึ่ง อาการมะเร็งต่อมลูกหมากดีขึ้น 50% ภายใน 4 วัน
- ผู้ป่วยท่านหนึ่ง ยกเลิกการผ่าตัดบายพาส หลังกินยาสูตรนี้ไปเพียง 2-3 สัปดาห์
- ผู้ป่วยท่านหนึ่ง หายจากโรคไซนัสเรื้อรังหลังกินย
าสูตรนี้ไปเพียง 2 สัปดาห์
- ผู้ป่วยท่านหนึ่ง อาการมะเร็งปากมดลูกหายไปกว่า 80% ภายใน 10 วัน
- ผู้ป่วยท่านหนึ่ง อาการปวดขาเรื้อรังหายขาดภายใน 7 วัน

ที่มา

คลินิกหมอสมุนไพรออนไลน์ By นพท.มอ

ประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมัก


ประโยชน์ของน้ำส้มสายชูหมัก



ประโยชน์น้ำส้มสายชูหมัก
เป็นตัวที่ทำให้ระบบเลือดในร่างกายทั้งหมด ความไม่สมดุลของแคลเซี่ยมโปแตสเซี่ยมที่คนจีนเรียกว่าหยิน กับ หยาง ได้เกิดความสมดุลในร่างกายได้ ทำให้เลือดบริสุทธิ์ใส กินเข้าไปภายใน 4-5 ชั่วโมง จะรู้สึกทันทีว่าตัวท่านเปลี่ยนไป
1.จะรู้สึกสดชื่นขึ้น
2.ฉีออกมาไม่มีกลิ่นเหม็น
ระบบทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเพราะมันเข้าไปขับ เข้าไปปรับระดับเลือดความเข้มข้นของเลือด ความสะอาดของเลือด เมื่อเลือดถูกแปรสภาพ ความบาลานซ์เกิดขึ้นในร่างกาย สิ่งที่ตามมาคือท้ายสุดไปปรับระบบภูมิคุ้มกันให้กลับไปสู่สภาวะที่แข็งแรงขึ้น เมื่อแข็งแรงขึ้นมันก็ทำให้ตัวคุณหายด้วยตัวคุณเอง คือสิ่งที่น้ำส้มสายชูหมักทำให้คุณได้

วิธีกิน
กินมากน้อยก็ไม่มีผลเพราะมาจากธรรมชาติ ขึ้นอยู่กับว่าสามารถกินได้แค่ไหน แต่ไม่ใช่กินวันหนึ่งเป็นขวด ขึ้นอยู่กับสรีระของแต่ละบุคคล บางคนกินวันละ 1-2 ช้อนโต๊ะน้อยไป ต้องทดลองเอง
กินแบบไหนก็ได้ผสมน้ำโซดา หรือไรก็ได้ ขอให้กินเข้าไป วันหนึ่งถ้าให้ดีกินให้ได้ครึ่งแก้ว มาตรฐาน เช้า-เย็น กินตอนท้องว่าง ก่อนอาหาร 1 ชั่วโมง  หรือ หลังอาหาร 1 ชั่วโมง 
เวลามันไปมิกกับอาหารเกิดการดูดซึมประสิทธิภาพน้อยลง กินแล้วห้ามนอนถ้านอนทำงานไม่เต็มที่ต้องการให้มันดูดให้หมดภายใน 1-2 ชั่วโมง
ปัญหาคือเนื่องจากมีแอคซีส 4.2-6% จะทำให้ง่วงนอน เพราะมีกรดเหมือนอัลกอฮอ
จะหมักจากองุ่น สัปรด แอปเปิ้ล หมักผลไม้หรือผักอะไรก็ได้ ที่มีอยู่ในโลก ขอให้เป็นส้ำส้มสายชูหมักซึ่งมีกรดไม่ต่ำกว่า 4.2% ขอให้เป็นน้ำส้มสายชูหมักตามธรรมชาติ
มันไปปรับสภาพร่างกายให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงมันไปซ่อมทุกอย่างในร่างกายเราหมดเลย และตัวมันเป็นภูมิคุ้มกันที่รู้ดีว่าเราเป็นโรคอะไร
เปิดแล้วต้องกินจนหมดจะแช่เย็นหรือไม่ไม่มีปัญหา แต่ว่าเปิดแล้วไปผสมน้ำผึ้งไว้เยอะๆ แล้วไปแช่ตู้เย็นก็ได้ แต่ประสิทธิภาพไม่เหมือนกบกินสดๆ เปิดแล้วปิดไม่ดีนานๆ ความเป็นกรดหาย ประสิทธิภาพก็ต้องลดลง

ฟอกไตด้วยวิธีธรรมชาติ



                                                                    
                ที่จริงแล้วไต ถือว่าเป็นหน้าต่างสุขภาพของเรา เพราะไตมีหน้าที่ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ถ้าไตของเราเสื่อม นั่นหมายถึงว่าร่างกายของเราก็จะแย่ไปด้วยเนื่องจากการมีสารพิษจำนวนมากคงยู่ในร่างกาย และร่างกายจะพยายามขับของเสียดังกล่าวออกมาทางผิวหนังแทน ทำให้เกิดเป็นผื่นแดงตามผิวหนัง นอกจากนี้ไตยังมีหน้าที่สำคัญๆอีกหลายอย่าง ได้แก่
๏    รักษาสมดุลของของเหลว อิเล็คโทรไลต์ และภาวะกรด-ด่าง
๏     ขจัดของเสียที่เกิดจากขบวนการเมตาบอลิซึมของร่างกาย
๏     ช่วยรักษาความดันโลหิตให้อยู่ในระดับปกติ
๏    สร้างฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง
๏     กระตุ้นการทำงานของวิตามินดี ซึ่งควบคุมขบวนการเมตาบอลิซึมของแคลเซียมและกระดูก
            ถ้าเรายืนตรงแล้ววางมือบนสันกระดูกสะโพก โดยวางนิ้วโป้งไว้ที่กระดูกสันหลัง ตำแหน่งของไตคือตำแหน่งที่อยู่เหนือนิ้วโป้ง ซึ่งไตข้างขวาจะอยู่ต่ำกว่าข้างซ้ายเล็กน้อย ดังนั้นอาการปวดหลังส่วนล่างก็อาจมีสาเหตุมาจากไตได้เช่นกัน แม้แต่ภาวะขาดน้ำจากโรค หรือจากการบริโภคน้ำน้อยเกินไปก็เป็นสาเหตุของอาการปวดหลังได้
            เนื่องจากอาการผิดปกติต่างๆจะเกิดขึ้นเมื่อการทำงานของไตสูญเสียไปแล้ว 50 % ดังนั้นเมื่อตรวจพบ จึงมักจะเป็นรุนแรงแล้ว
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อไต ได้แก่
    ๏ ความเครียด ทำให้ไตเสื่อม
    ๏ โรคหัวใจและสมองขาดเลือด ทำให้ไตเสื่อม
    ๏ อาหาร - อาหารที่มีโปรตีนสูง จะก่อให้เกิดภาวะกรดในกระแสเลือดและโรคเก๊าท์ เนื่องจากในขบวน     การเมตาบอลิซึม    ของโปรตีนจะได้ กรดยูริกเป็นของเสีย ซึ่งจะไปสะสมตามข้อต่อและไต
    ๏ การออกกำลังกาย
    ๏ การติดเชื้อ – การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนใหญ่เกิดจากแบคทีเรีย ทั้งที่จากกระแสเลือด น้ำ      เหลืองหรือจากการติดเชื้อที่กระเพาะปัสสาวะแล้วมาที่ไต ภาวะดังกล่าวจะมีอาการปวด เป็นหนอง ฝี มี       ไข้ และการติดเชื้อเหล่านี้ ส่วนมากมักจะมาจากแบคทีเรียที่ลำไส้ใหญ่ ดังนั้นถ้าลำไส้ใหญ่แข็งแรง ไต        ของเราก็จะแข็งแรงไปด้วย

            การเกิดนิ่วที่ไต  (
kidney stone) เกิดจากการรวมตัวของแคลเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ เช่น กรดยูริก แล้วเกิดเป็นตะกอนที่ท่อไต ซึ่งถ้ามีขนาดเล็ก จะสามารถขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะได้ แต่ถ้าขนาดใหญ่ จะทำให้ปัสสาวะไม่ออกและมีอาการปวดมาก (ปวดมากกว่าการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะ) ในจังหวะที่กล้ามเนื้อพยายามบีบตัวที่ท่อไตเพื่อพยายามขับก้อนนิ่วออกมา การเกิดนิ่วที่ไตนั้น สามารถทำให้เกิดการอุดตันขึ้นได้  ทุกบริเวณของทางเดินปัสสาวะ และบริเวณที่มีการอุดตันนั้น แบคทีเรียจะเจริญเติบโตได้ดี   ดังนั้นบริเวณที่มีการอุดตันจึงง่ายต่อการเกิดการติดเชื้อ
        ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดนิ่วที่ไต ได้แก่
๏   การดื่มน้ำเยอะๆ จะช่วยลดการเกิดการนิ่ว
๏    เครื่องดื่มที่มีกรดฟอสฟอริก (เช่น น้ำอัดลม) เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดนิ่ว
๏   เครื่องดื่มที่มีแคลเซียมซัลเฟตมาก เช่น เบียร์ หรือน้ำกระด้าง
๏    ถ้าเราขาดการออกกำลังกาย มีโอกาสเป็นนิ่วสูงกว่าคนที่ออกกำลังกายเป็นประจำ เนื่องจากคนที่ไม่ออก  กำลังกาย แคลเซียมไอออนจะถูกปล่อยออกจากระดูก ทำให้มีแคลเซียมในกระแสเลือดในปริมาณสูง จึงพบมีแคลเซียมในปัสสาวะปริมาณมากเช่นกัน (จากที่กล่าวไปแล้วว่า แคลเซียมเป็นปัจจัยหนึ่งในการเกิดนิ่ว เพราะนิ่วเกิดจาก แคลเซียม รวมตัวกับ กรดยูริก )
๏    การกินอาหารที่มีโปรตีนปริมาณสูง เช่นพวกเนื้อสัตว์ นม จะเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วที่ไต เนื่องจากอาหารเหล่านี้เมื่อเมตาบอลิซึมแล้วจะได้ของเสียคือ กรดยูริก
๏    น้ำตาลและแป้งขัดขาว จะกระตุ้นตับอ่อน ให้ผลิตอินซูลิน ซึ่งจะมีผลทำให้ปริมาณแคลเซียมในปัสสาวะมีมากขึ้น ดังนั้นคนที่บริโภคน้ำตาลและแป้งขัดขาวจะมีความเสี่ยงมากขึ้น
๏    คนที่เป็นโรคกระดูกพรุน มีความเสี่ยงในการเกิดนิ่วมากขึ้นเพราะภาวะดังกล่าว จะมีแคลเซียมในกระแสเลือดและในปัสสาวะมากกว่าคนทั่วไป
 
            การเกิดนิ่วที่ไต อาจไม่มีอาการใดๆถ้าก้อนนิ่วมีขนาดเล็ก สามารถขับออกมาพร้อมปัสสาวะได้ แต่ถ้ามีขนาดใหญ่ จะมีอาการปวดหลังมากและปวดขึ้นมาทันทีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และอาการปวดอาจลามไปถึงบริเวณท้อง บริเวณอวัยวะเพศได้ และอาการที่อาจพบร่วมกันคือ เวียนศีรษะ อาเจียน หนาวสั่น ปวดท้องเวลาที่อยากปัสสาวะ
        เพื่อป้องกันการเกิดนิ่วที่ไต ควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มดังกล่าวข้างต้น และควรออกกำลังกายเป็นประจำ สำหรับในรายที่มีนิ่ว การออกกำลังกายและการกินอาหารนั้นไม่เพียงพอที่จะกำจัดนิ่วได้ คุณจำเป็นต้องทำดีท็อกซ์เพื่อขจัดสารพิษที่ไตด้วย 
(kidney detoxification)
Kidney Detoxification
            พืชหลายชนิดสามารถขจัดสารพิษ ละลายนิ่ว ฆ่าเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุของโรคติดเชื้อ กระตุ้นการเจริญของเซลล์ที่แข็งแรง หนึ่งในพืชที่ดีที่สุดคือ แอปเปิ้ล เราควรบริโภคแอปเปิ้ลทุกวัน เนื่องจากในแอปเปิ้ลนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน แร่ธาตุ คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เกลืออินทรีย์ ซึ่งสารเหล่านี้จะช่วยทำความสะอาดร่างกายตามธรรมชาติ ช่วยฆ่าเชื้อโรค กระตุ้นการทำงานของระบบหายใจ ระบบหัวใจ และระบบประสาท สารอาหารที่มีประโยชน์เหล่านี้ จะอยู่ในผิวของแอปเปิ้ล ดังนั้นเราจึงไม่ควรปลอกเปลือกออก
        พืชอีกชนิดหนึ่งที่ช่วยทำความสะอาดระบบปัสสาวะคือ รากของ 
Hydrangea (ไม้ดอกชนิดหนึ่ง มีดอกเป็นสีขาว น้ำเงิน ชมพู) ซึ่งช่วยละลายนิ่วที่ไต ตลอดจนนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ข้อต่อ และบริเวณอื่นๆ
        
Dr. Shook แนะนำให้ใช้น้ำแอปเปิ้ล 1 ควอตซ์ร่วมกับราก Hydrangea 2 ออนซ์ เพื่อละลายนิ่ว   โดยแช่รากHydrangea ในน้ำแอปเปิ้ลเป็นเวลา 12 ชั่วโมง แล้วจึงนำน้ำแอปเปิ้ลพร้อมรากดังกล่าวไปต้ม ค่อยๆเคี่ยวให้เดือด 30 นาที ทิ้งไว้ให้เย็น แยกรากออกมา แล้วเก็บน้ำที่ได้ไว้ในตู้เย็น นำออกมาดื่มวันละ 3-4 ครั้ง ครั้งละ 1 แก้ว
        ราก 
Hydrangea สามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งอาจอยู่ในรูปของสารละลายที่ใช้ได้สะดวกยิ่งขึ้น เพียงแค่หยดสารละลายของHydrangea 20-30 หยดลงในน้ำแอปเปิ้ล 1 แก้ว สามารถดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น
            พืชหลายชนิดสามารถขจัดสารพิษในระบบปัสสาวะ และช่วยละลายนิ่วที่ไต การผสมพืชหลายชนิดเข้าด้วยกันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขจัดสารพิษและละลายนิ่วเป็นขนาดเล็กจนสามารถออกมาพร้อมปัสสาวะได้โดยไม่เจ็บปวดแต่อย่างใด ซึ่งพืชดังกล่าวได้แก่
        ๏   น้ำแอปเปิ้ล
        ๏   ราก 
Hydrangea (สารละลาย)
        ๏   ราก 
Gravel (แคปซูล) - หญ้าชนิดหนึ่ง
        ๏    ผักชีฝรั่ง (แคปซูล)
         ๏   ราก 
Marshmallow (แคปซูล)
         ๏   แบเบอร์รี (แคปซูล)
         ๏   กลีเซอลีนจากผัก (สารละลาย)
         ๏   รากขิงหรือพริกไท (แคปซูล)
        ๏   วิตามินบี 6 -100 มิลลิกรัม (เม็ด)
        ๏   แมกนีเซียมออกไซด์ 3000 มิลลิกรัม (แคปซูล)
เพียงแค่น้ำแอปเปิ้ลและราก 
Hydrangea ก็สามารถละลายนิ่วที่ไต และช่วยปรับปรุงการทำงานของระบบปัสสาวะได้   
แต่เมื่อรวมกับสารอื่นๆ ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดนิ่วและขจัดสารพิษออกจากไตให้ดียิ่งขึ้น
            น้ำแอปเปิ้ล , ราก 
Hydrangea และราก Gravel มีฤทธิ์ละลายก้อนนิ่ว ผักชีฝรั่ง มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ (เหมาะสำหรับใช้รักษาการติดเชื้อที่ทางเดินปัสสาวะและนิ่ว)    ส่วน Marshmallowจะช่วยในขบวนการสมานแผลจึงเหมาะสำหรับใช้รักษาการอักเสบและแผลที่ทางเดินปัสสาวะ     สำหรับแบเบอร์รี นั้นจะช่วยขับปัสสาวะและฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะ     กลีเซอลีนจากผักจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น       ส่วนรากขิงหรือพริกไท จะเป็นตัวกระตุ้นให้ส่วนประกอบอื่นๆออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น      สำหรับวิตามินบี 6 และแมกนีเซียมออกไซด์ จะช่วยป้องกันการเกิดนิ่ว
            การรับประทานส่วนผสมดังกล่าว อย่างน้อย 3 สัปดาห์ ก็จะช่วยละลายนิ่วให้หายไปในที่สุด แต่ถ้าคุณมีการติดเชื้อที่ไตหรือปัญหาอื่นๆร่วมด้วยก็ควรรับประทานต่อเป็นเวลา 5 สัปดาห์
            สูตรดังกล่าวสามารถรับประทานซ้ำได้ปีละ 1-2 ครั้ง หรือมากกว่านั้นในกรณีที่มีปัญหาที่ระบบปัสสาวะ ในระหว่างที่ทำการขจัดสารพิษที่ไตด้วยสูตรอาหารดังกล่าว ควรหลีกเลี่ยงเนื้อ นม ชา กาแฟ น้ำอัดลมโดยเฉพาะโคล่า ช็อกโกแลต(ลูกอม เครื่องดื่ม) ผักโขมสด เพราะในอาหารเหล่านี้มีปัจจัยเสริมที่ทำให้เกิดก้อนนิ่วได้

ข้อมูลโดย 
พิมพ์ชนก   ฐานิตสรณ์   บริษัท  กู๊ดเฮลท์ (ประเทศไทย)  จำกัด     ( 7 / 8 /2549 )

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

น้ำพริกมะม่วง


ส่วนผสม
1. มะม่วงน้ำดอกไม้ 1 ลูก (หั่นบางๆ)
2. กระเทียม 2 หัว
3. พริกขี้หนูสวน 20 บาท ( 2 กำมือ)
4. กะปิ 2 ช้อนโต๊ะ
5. น้ำตาลปิ๊ป 1.5 ช้อนโต๊ะ
6. น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ตำพริก+กะเทียมให้ละเอียด
2. เติมน้ำตาลตำให้น้ำตาลละลาย
3. เติมกะปิคลุกให้เข้ากัน
4. เติมน้ำปลา
5. เติมมะม่วงคลุกให้เข้ากัน
6.ตักเสริฟ กินกันผักสด

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผัดถั่วกะปิ


ส่วนผสม
1. ถั่วฝักยาวเลือกอวบๆ 2 กำ
2. กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
3. มะนาว 2 ลูก
4. พริกขี้หนูสด 1 กำมือ ถ้าชอบเผ็ดก็เพิ่มอีก
5. กระเทียม 6 กีบ

วิธีทำ
1. เจียวกระเทียมให้หอม
2. นำหมูลงผัดให้สูก
3. นำถั่วฝักยาวลงผัด
4. ปรุงด้วนน้ำตาลทราย 2 ช้อนซ่อม
5. ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
6. ละลายกะปิในน้ำมะนาว และเอาลงผัด
7. พอสุกแล้วเติมพริกที่เตรียมไว้
8. ชิมรสออกหวาน เปรี้ยว เค็ม
9. ตักเสริฟได้

แกงไตปลากะทิ




ส่วนผสม
1.ไตปลาช่อน 1 ขวดครึ่ง
2. กะทิ 1 กก.
3.ประทู 7 ตัว (2 ตัว 50 บาทป
4.ส้มแขก 7 ชิ้น
5.พริกแกงใต้ 1 ถ้วย
6.กะปิ 2 ช้อนโต๊ะ
7.ใบมะกรูด
8.พริกสด 2 ถุง (ถุงละ 10 บาท)
9.พริกไทย 1 ถุงใหญ่

วิธีทำ
1.ต้มไตปลาและกรองเอาแต่น้ำ
2.เอาพริกแกง+กะปิ ละลายในไตปลาที่ต้มแล้ว
3.เอาเนื้อปลาทูคลุกให้เข้ากัน
4.ขึ้นตั้งไฟพอเดือดเติมหางกะทิ และเติมน้ำ 1 ลิตร (ทยอยเติม)
5.ชิมรสให้ออก เค็มเผ็ด
6.ใส่ใบมะกรูด ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ
7.ใส่พริก และ พริกไทย ตำให้ละเอียด
8. เติมหัวกะทิ ชิมรส ออกรสเผ็ดเค็ม
9.ตักเสริฟ กับผักกฐิน  เมล็ดกฐิน สตอ

วันเสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ไข่ลูกเขย


ส่วนผสม
1.ไข่เป็ด 10 ฟอง
2.น้ำตาลปิ๊ปครึ่งกิโล
3.น้ำมะขามครึ่งถ้วย
4.หอมแดงเจียว 1 ครึ่งถ้วย
5.พริกแห้งทอด
6.น้ำปลา
7.ผักชี
8.พริกชี้ฟ้าซอย

วิธีทำ
1.ต้ำไข่เป็ดให้สุกใส่เกลือด้วย
2.นำไข่ที่ต้มสุกแล้วมาทอดให้เหลือง ไม่ต้องทอดนานไข่จะเหนียว
3.เจียวหอม
4.ตั้งน้ำมาขามเปียกให้เดือดเคี่ยวกับน้ำตาลให้หอม พอได้ที่เติมน้ำปลาและชิมรถออกหวาน เปรี้ยว
5.พอเคี่ยวได้ที่ ก็เอาหอมเจียว และพริกทอดใส่ เคี่ยวเข้าด้วยกัน
6.ตักลาดไข่ทอดที่เตรียมไว้
7.ตักเสริฟกินกับข้าวสวยร้อนๆ

ไข่พะโล้


ส่วนผสม สำหรับหม้อเบอร์38
1.ไข่เป็ด 40 ฟอง  ต้มให้สุก
2.หมูสามชั้น 1 กก.
3.เต้าหู้เหลือง 15 ก้อน  หั๋นเป็นลูกเต๋า
4.โป้ยกั๊ก 10 อัน
5.ซีอิ้วขาว 1 ขวดกลาง
6.น้ำตาลทราย 2 ทัพพี
7.อบเชย 6 อัน
8.น้ำตาลปิ๊ป 1 กก.
9.รากผักชี  3 กำ
10.กระเทียม 10 หัว
11.พริกไทยดำ ครึ่งถุงใหญ่
12.ซีอิ้วดำหวาน  2 ทัพพี
13.เกลือ 1 ทัพพี

วิธีทำ
1.หมักหมูสามชั้นกับรากฝักชี+พริกไทย+ซีอิ้วขาว
2.น้ำรากผักชี+พริกไทย+กระเทียม ที่เหลือตำให้ละเอียด  และนำมาผัดกับน้ำตาลปิ๊ปให้หอม และเติมน้ำตาลทราย ผัดจนหอมสีออกไหม้
3.นำหมูที่หมักไว้มาผัดให้พอสุก ตามด้วยไข่ต้ม และเต้าหู้ ผัดให้เข้ากัน ค่อยๆ เติมน้ำ
4.เติมเกลือ+ซีอิ้วขาว+โปยกั๊ก+อบเชย
5.ชิมรส ออกหวาน เค็ม เผ็ดพริกไทยดำ
6.เคี่ยวด้วยไฟอ่อนๆ เพื่อให้เข้าเนื้อ


น้ำพริกมะขาม
















ส่วนผสม
1.มะขามอ่อนครึ่งกิโล
2.กะปิ 3 ช้อนโต๊ะ
3.พริกขี้หนูสด 2 ถุง (ถุงละ 10 บาท) ถ้าชอบเผ็ดก็เพิ่มอีก 1 ถุง
4. กระเทียม 2 หัว
5. หมูสับ 3 ขีด
6.น้ำตาลปิ๊ป 3 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1.ตำมะขามให้ละเอียด
2.ตำพริก+กระเทียมให้ละเอียด
3.เติมกะปิ+น้ำตาลปิ๊ป ตำให้เข้ากัน ชิมรสหวานเปรี้ยว
4.เอาหมูสับลงไปคลุกแค่ครึ่งหนึ่งพอ แล้วเอาส่วนที่คลุกกับหมูสับแล้วลงผัดก่อน พอหมูสุก
5.เอาน้ำพริกมะขามที่ไม่มีหมูลงผัดเข้าด้วยกัน ผักทีหลังเพื่อให้มีกลิ่นหอมของมะขาม
6.ผัดจนแห้ง ชิมรสอีกที
7.ตักเสริฟ กินกับขิงอ่อน และผักต่างๆ